ความหมายและคุณสมบัติของข้อมูล
|
|
|
|
|
|
|
|
ในปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจต้องอาศัยข้อมูลเป็นหลัก
จึงมีการนำเทคโนโลยีมาช่วย
จัดการข้อมูลอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากการแข่งขันการให้บริการของธนาคารพาณิชย์
การใช้ข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ ข้อมูลเป็นหัวใจของการดำเนินงาน
เป็นแหล่งความรู้ที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ
บริษัทหรือองค์การจึงดำเนินการอย่างจริงจัง
ให้ได้มาซึ่งข้อมูลและปกป้องดูแลข้อมูลของตนเป็นอย่างดี
เพราะข้อมูลเป็นสิ่งมีค่ามีราคา
การโจรกรรมข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ
จึงเป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้น ดังที่ปรากฎเป็นข่าว
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ข้อมูล (data) คือ ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ
เช่น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ฯลฯ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาพ
เสียง วีดีโอ การแปลความหมายและการประมวลผล ข้อมูลอาจเป็นตัวเลข ตัวอักขระ หรืสัญลักษณ์ใด ๆ เช่น เลข 1.5 อาจจะถูกกำหนด
ให้เป็นจำนวนหน่วยการเรียนของวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8:30 แทนเวลาเข้าเรียน
ข้อมูล จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มีการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ดังจะเห็นจากกระบวนการการเลือกตั้งที่ผ่านมา
หลายพรรคการเมืองมีการนำเทคโนโลยี
มารวบรวมข้อมูล หาวิธีการที่จะให้ได้ข้อมูลอย่างรวดเร็ว
และเมื่อสถานการณ์หรือเหตุการณ์บางอย่างผันแปรขึ้น การเตรียมการ
หรือการแก้สถานการณ์จะดำเนินการได้อย่างทันท่วงที
ข้อมูลที่จะนำมาประมวลผลให้เป็นสารสนเทศ จะต้องมีคุณสมบัติพื้นฐาน ดังต่อไปนี้
1. ความถูกต้อง หากมีการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว ถ้าข้อมูลเหล่านั้นเชื่อถือไม่ได้ จะทำให้เกิดผลเสียหายมาก ผู้ใช้
จะไม่กล้าอ้างอิงหรือนำเอาไปใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นเหตุให้การตัดสินใจของผู้บริหารขาดความแม่นยำ และอาจมีโอกาสผิดพลาดได้ โครงสร้างข้อมูลที่ออกแบบต้องคำนึงถึงกรรมวิธีการดำเนินงานเพื่อให้ได้ความถูกต้องแม่นยำมากที่สุด โดยปกติความผิดพลาดของการประมวลผลส่วนใหญ่ มาจากข้อมูลที่ไม่มีความถูกต้องซึ่งมีสาเหตุมาจากคนหรือเครื่องจักร การออกแบบระบบจึงต้องคำนึงถึง
ในเรื่องนี้
2. ความรวดเร็วและเป็นปัจจุบัน การได้มาของข้อมูลจำเป็นต้องให้ทันต่อความต้องการของผู้ใช้ ทันสมัย
และทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน มีการตอบสนองต่อผู้ใช้ได้เร็ว ตีความหมายสารสนเทศได้ทันต่อเหตุการณ์หรือความต้องการ
มีการออกแบบระบบการเรียกค้นและรายงาน ตามความต้องการของผู้ใช้
3.ความสมบูรณ์ ความสมบูรณ์ของสารสนเทศขึ้นกับการรวบรวมและวิธีการทางปฏิบัติ ในการดำเนินการจัดทำสารสนเทศ
ต้องสำรวจและสอบถามความต้องการของผู้ใช้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์เหมาะสม
4.ความชัดเจนกระทัดรัด การจัดเก็บข้อมูลต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมาก จึงจำเป็นต้องออกแบบโครงสร้างข้อมูล
ให้กระทัดรัด สื่อความหมายได้ มีการใช้รหัสหรือย่อข้อมูลให้เหมาะสม เพื่อที่จะจัดเก็บเข้าไว้ในระบบคอมพิวเตอร์
5.ความสอดคล้อง ความต้องการเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นจึงต้องมีการสำรวจเพื่อหาความต้องการของหน่วยงานและองค์กร
ดูสภาพการใช้ข้อมูล ความลึกหรือความกว้างของขอบเขตข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการ
ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลแบ่งออกเป็น
2 ชนิด คือ
1)ข้อมูลที่เป็นตัวเลข (Numeric Data) หมายถึง ข้อมูลที่ใช้แทนจำนวนที่สามารถนำไปคำนวณได้
ข้อมูลแบบนี้เขียนได้หลายรูปแบบ คือ
ก.
เลขจำนวนเต็ม หมายถึง ตัวเลขที่ไม่มีจุดทศนิยม เช่น 12, 9, 137 , 8319
, -46
ข.
เลขทศนิยม หมายถึง ตัวเลขที่มีจุดทศนิยม ซึ่งอาจมีค่าเป็นจำนวนเต็ม เช่น
12 หรือเป็นจำนวนที่มีเศษทศนิยมก็ได้ เช่น 12.763
เลขทศนิยมแบบนี้สามารถเขียนได้
2 รูปแบบคือ
ก.
แบบที่ใช้กันทั่วไป เช่น 12., 9.0 ,17.63, 119.3267 , -17.34
ข.
แบบที่ใช้งานทางวิทยาศาสตร์ เช่น
123.
x 10 หมายถึง 1230000.0
13.76
x 10-3 หมายถึง 0.01376
1764.0
x 102 หมายถึง -176400.0
1764.10 หมายถึง -17.64
2)
ข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ (Character Data) หมายถึง ข้อมูลที่ไม่สามารถนำไปคำนวณได้
แต่อาจนำไปเรียงลำดับได้ เช่น การเรียงลำดับตัวอักษร ข้อมูลอาจเป็นตัวหนังสือ
ตัวเลข หรือเครื่องหมายใด ๆ เช่น COMPUTER, ON-LINE, 1711101,&76
ประเภทของข้อมูล
ถ้าจำแนกข้อมูลออกเป็นประเภท
จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.
ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวม
หรือบันทึกจากแหล่งข้อมูลโดยตรง
ซึ่งอาจจะได้จากการสอบถาม การสัมภาษณ์
การสำรวจ และการจดบันทึก ตลอดจนการจัดหามาด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ เช่น
เครื่องอ่านรหัสแท่ง เครื่องอ่านแถบแม่เหล็ก
2.
ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) หมายถึง ข้อมูลที่มีผู้อื่นรวบรวมไว้ให้แล้ว บางครั้งอาจมีการประมวลผล
เพื่อเป็นสารสนเทศ
เช่น สถิติจำนวนประชากรแต่ละจังหวัด สถิติการนำสินค้าเข้า และการส่งสินค้าออก
เป็นต้น
ความสัมพันธ์ของข้อมูลและสารสนเทศ
|
|
|
|
|
|
|
|
จากที่กล่าวมาแล้วว่า
ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เช่น คน สถานที่
สิ่งของต่าง ๆ
ซึ่งมีการเก็บรวบรวมเอาไว้ และสามารถเรียกเอามาใช้ประโยชน์ได้ในภายหลัง
ข้อมูลจึงจำเป็นต้องเป็นข้อมูลที่ดี
มีความถูกต้องแม่นยำ
สำหรับสารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่มีความหมาย สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
หรือ ผลสรุปที่เกิดจากการประมวลผลข้อมูลที่ถูกต้องและ
เหมาะสม กระบวนการประมวลผลอาจเป็นการแยกแยะ จัดเก็บ จัดลำดับ คำนวณ โดยเลือก
และจัดรูปแบบให้เหมาะสม ทันต่อความต้องการและทันสมัยกับเหตุการณ์ สารสนเทศที่ดีต้องมาจากข้อมูลที่ดี และมีการกำหนดสิทธิ์ในการใช้ข้อมูล
เช่น เกรดเฉลี่ยของนักเรียน หรือรายงานสรุปยอดการขายแต่ละเดือนในรอบปีที่ผ่านมา
กรรมวิธีการรวบรวมข้อมูล
เป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินงาน การรวบรวมข้อมูลที่ดีจะได้ข้อมูลรวดเร็ว
ถูกต้องแม่นยำ ครบถ้วน
ดังนั้นผู้ดำเนินการจะต้องให้ความสำคัญที่จุดนี้โดยเฉพาะความรวดเร็ว
ความรวดเร็วของการเก็บข้อมูลจึงผูกพันกับเทคโนโลยี
ซึ่งมีหลายวิธี เช่น
การใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ การเชื่อมต่อกับระบบปลายทางเพื่อรับข้อมูล
การใช้โทรสาร การใช้ระบบ
อ่านข้อมูลอัตโนมัติ เช่น เครื่องกราดตรวจ (scaner)
อ่านข้อมูลที่เป็นรหัสแท่ง (barcode)
การจัดเก็บข้อมูลที่ดี
จะต้องมีการกำหนดรูปแบบของข้อมูลให้มีลักษณะง่ายต่อการจัดเก็บ และมีรูปแบบเดียวกัน
ข้อมูลแต่ละชุดควรมีความหมายที่ชัดเจนและมีความเป็นอิสระในตัวเอง นอกจากนี้ไม่ควรมีการเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองเนื้อที่เก็บข้อมูลและอาจสร้างปัญหาในการแก้ไขข้อมูล
ภาพ แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลและสารสนเทศ
ข้อความบนระเบียนประวัติของนักเรียนจากภาพ ทำให้ทราบว่า เพชร แข็งขัน เป็นนักเรียนชาย เกิดวันที่ 12 เดือนมกราคม
ปีพุทธศักราช 2525 ดังนั้นข้อความ "เพชร แข็งขัน" "ชาย" และ "12 ม.ค. 2525" ที่อยู่บนระเบียนประวัตินักเรียนจึงเป็นข้อมูล
ถ้ามีการนำข้อมูลเกี่ยวกับปีเกิดของนักเรียนทั้งโรงเรียนจากระเบียนประวัติไปแจกแจงตามปีเกิด
แสดงให้เห็นตามภาพ
ภาพ แจกแจงข้อมูลปีเกิดของนักเรียนทั้งโรงเรียน
จำนวนนักเรียนที่ได้จากการแจกแจงข้อมูลตามปีเกิด จะเป็นสารสนเทศที่เกิดจากการนำข้อมูลไปทำการประมวลผล ในบางครั้งผลสรุปหรือสารสนเทศจากการประมวลผลข้อมูลแบบหนึ่ง
อาจนำไปใช้เป็นข้อมูลในการประมวลผล
อีกแบบหนึ่งก็ได้ เช่น
ในการหาเกรดเฉลี่ยปลายภาคการศึกษาของนักเรียนคนหนึ่ง เริ่มจากครูผู้สอนแต่ละวิชานำผลการสอบแต่ละครั้ง และคะแนนการทำงานในชั้นเรียนมาคำนวณคะแนนรวมและให้เกรดในวิชานั้น ๆ เกรดที่ครูผู้สอนแต่ละท่านให้ถือว่าเป็นสารสนเทศขากข้อมูลคะแนนสอบและการทำงานของนักเรียน หลังจากส่งเกรดแต่ละรายวิชาให้ฝ่ายวิชาการเพื่อคำนวณเกรดเฉลี่ย เกรดแต่ละวิชาที่ส่งมาจะเป็นข้อมูลในการคำนวณเกรดเฉลี่ยของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งถือเป็นสารสนเทศ หลังจากนั้นเกรดเฉลี่ยของนักเรียนแต่ละคนอาจเป็นข้อมูลในการประมวลผลอื่น ๆ ต่อไป เช่น การคำนวณผลการเรียนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งชั้นเรียน
ภาพ การหาระดับคะแนนเฉลี่ยของนักเรียน
ในการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ หรือการทำข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ จำเป็นต้องมีการ
ประมวลผลข้อมูลก่อน การประมวลผลข้อมูลเป็นกระบวนการที่มีกระบวนการย่อยหลายอย่าง ประกอบกันคือ
1. การรวบรวมข้อมูล
2. การแยกแยะ
3. การตรวจสอบความถูกต้อง
4. การคำนวณ
5. การจัดลำดับหรือการเรียงลำดับ
6. การรายงานผล
7. การสื่อสารข้อมูลหรือการแจกจ่ายข้อมูลนั้น
การประมวลผลข้อมูลจึงเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญ เพราะข้อมูลที่มีอยู่รอบๆ ตัวเรามีเป็นจำนวนมากในการใช้งานจึงต้อง
มีการประมวลผลเพื่อให้เกิดประโยชน์ กิจกรรมหลักของการให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ จึงประกอบด้วยกิจกรรมการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งต้องมีการตรวจสอบ ความถูกต้องด้วยกิจกรรมการประมวลผลซึ่งอาจจะเป็นการแบ่งแยกข้อมูล การจัดเรียงข้อมูล การคำนวณ และกิจกรรมการเก็บรักษาข้อมูลซึ่งอาจต้อง มีการทำสำเนา ทำรายงานเพื่อแจกจ่าย
วิธีการประมวลผล มี 2 ลักษณะ คือ
(1) การประมวลผลแบบเชื่อมตรง (online processing)
หมายถึง การทำงานในขณะที่ข้อมูลวิ่งไปบนสายสัญญาณเชื่อมต่อจากเครื่องปลายทาง (terminal) ไปยังฐานข้อมูล
ของเครื่องหลักที่ใช้ในการประมวลผลการประมวลผลแบบเชื่อมตรงจึงเป็นการประมวลผลโดยทันทีทันใด เช่น การจองตั๋วเครื่องบิน การซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า การฝากถอนเงินเอทีเอ็ม การประมวลผลแบบเชื่อมตรงจึงเป็นวิธีที่ใช้กันมากวิธีหนึ่ง
(2) การประมวลผลแบบกลุ่ม (batch processing)
หมายถึง การประมวลผลในเรื่องที่สนใจเป็นครั้งๆ เช่น เมื่อต้องการทราบข้อมูลผลสำรวจความนิยมของประชาชน
ต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน หรือที่เรียกว่า โพล (poll) ก็มีการสำรวจข้อมูลเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลได้แล้วก็นำมาป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วนำข้อมูล นั้นมาประมวลผลตามโปรแกรมที่ได้กำหนดไว้ เพื่อรายงานหรือสรุปผลหาคำตอบ กรณีการประมวลผลแบบกลุ่มจึงกระทำในลักษณะเป็นครั้งๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์โดยจะต้องมีการรวบรวมข้อมูลไว้ก่อน
ที่มา : http://www.school.net.th/library/
http://www.chakkham.ac.th/
http://www.piacec.moe.go.th
หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศ ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6 ของ สสวท